กฎ 75-10-15 ที่จะช่วยให้คุณสร้างความมั่งคั่งได้ ไม่ว่าคุณจะมีรายได้เท่าไหร่ก็ตาม
ระบบนี้ปรับให้เข้ากับระดับรายได้ของคุณ ไม่ว่าคุณจะมีรายได้ 300,000 บาทหรือ 30 ล้านบาทต่อปี เพราะไม่ว่าคุณจะมีรายได้เท่าไหร่ คุณก็ต้องทำตามสามขั้นตอนนี้เสมอ
ประการแรก สำหรับทุกๆ บาทที่คุณได้รับ 75% หรือ 75 สตางค์จะเป็นจำนวนเงินสูงสุดที่คุณสามารถใช้จ่ายได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าที่อยู่อาศัย อาหาร วันหยุด หรือของใช้ต่างๆ ถ้าคุณสามารถใช้จ่ายได้น้อยกว่า 75% ของรายได้ ก็ยิ่งดีมาก
ความงดงามของขีดจำกัด 75% คือมันให้ความยืดหยุ่นแก่คุณและกระตุ้นให้คุณทำสิ่งสำคัญสองประการ:
บังคับให้คุณมองหาทางเลือกที่ประหยัดกว่า เช่น เลือกซื้อของที่ตลาดสดแทนห้างสรรพสินค้า หรือเลือกร้านอาหารที่คุ้มค่ากว่า
ทำให้คุณมุ่งเน้นไปที่คุณค่าของสิ่งที่ซื้อ แทนที่จะตัดรายจ่ายเล็กๆ น้อยๆ เช่น กาแฟ ให้มุ่งเน้นไปที่ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ เช่น ค่าเช่าบ้าน หรือค่ารถยนต์แทน
ถัดไป กฎ 10 ใน 75-10-15 บอกว่าสำหรับทุกๆ บาทที่คุณได้รับ คุณควรเก็บออมอย่างน้อย 10% หรือ 10 สตางค์สำหรับเงินสำรองฉุกเฉิน
การศึกษาพบว่าคนไทยจำนวนมากไม่สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน 30,000 บาทได้ คิดว่าเงินสำรองฉุกเฉินของคุณเป็นเงินสดที่จัดสรรไว้สำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันเท่านั้น
ไม่ใช่สำหรับไปเที่ยว หรือซื้อของฟุ่มเฟือย ควรใช้เฉพาะยามจำเป็นจริงๆ เช่น รถเสียกะทันหัน หรือต้องเข้าโรงพยาบาลฉุกเฉิน
การกำหนดจำนวนเงินสำรองฉุกเฉินนั้นง่ายมาก คำนวณค่าใช้จ่ายรายเดือนทั้งหมดของคุณ แล้วคูณด้วย 3-6 เดือน ถ้าค่าใช้จ่ายรายเดือนของคุณอยู่ที่ 20,000 บาท คุณควรมีเงินสำรองฉุกเฉินประมาณ
60,000 – 120,000 บาท
สำหรับคนไทย การเก็บเงินสำรองฉุกเฉินในบัญชีออมทรัพย์ทั่วไปอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากดอกเบี้ยต่ำมาก แนะนำให้ลองพิจารณาบัญชีเงินฝากประจำระยะสั้น หรือกองทุนตลาดเงินที่มีความเสี่ยงต่ำแต่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
สุดท้าย ข้อ 15 ในกฎ 75-10-15 บอกว่าสำหรับทุกๆ บาทที่คุณได้รับ คุณควรลงทุนอย่างน้อย 15% หรือ 15 สตางค์สำหรับอนาคตของคุณ
สำหรับคนไทย การลงทุนเพื่อเกษียณอายุมีหลายทางเลือก เช่น:
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) – ถ้าบริษัทของคุณมี
ควรใช้ประโยชน์จากส่วนนี้เต็มที่ โดยเฉพาะถ้ามีการสมทบจากนายจ้าง
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) – คล้ายกับ IRA ในสหรัฐฯ ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) – สำหรับผู้ที่ไม่มีสวัสดิการจากรัฐหรือนายจ้าง
ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ – นอกจากให้ความคุ้มครองแล้ว ยังเป็นการออมไปในตัว
สำหรับการลงทุน แนะนำให้พิจารณากองทุนรวมดัชนี (Index Fund) หรือ ETF ที่ลงทุนในหุ้นไทยและต่างประเทศ เช่น กองทุนที่ติดตามดัชนี SET50 หรือ MSCI World Index เพื่อกระจายความเสี่ยงและได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
การลงทุนแบบนี้ช่วยให้คุณกระจายความเสี่ยงโดยอัตโนมัติ และมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าการซื้อหุ้นรายตัว ในระยะยาว กองทุนเหล่านี้มักให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 7-10% ต่อปี แม้ว่าบางปีอาจสูงหรือต่ำกว่านี้
สุดท้าย อย่าลืมว่าแม้คุณจะพยายามจัดการเงินอย่างดีแล้ว
บางครั้งก็อาจรู้สึกว่ายังไม่เพียงพอ นั่นอาจเป็นเพราะคุณยังมีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอยู่ ลองทบทวนรายจ่ายของคุณและตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออก เพื่อให้มีเงินเหลือสำหรับการออมและลงทุนมากขึ้น
วางแผนเลย วางแผนรวย กับ ตุ๊กติ๊ก อีสานบ่จ้า
ติดต่อเรา:
ภรฐิตารีย์ พุทธพงศภัทร์ (ตุ๊กติ๊ก)
โทร: 094-7944114
Line: ตุ๊กติ๊ก อีสานบ่จ้า
อีเมล: [email protected]